บ้านหลังหนึ่งเปิดร้านขายตะเกียง น้ำมันใส่ตะเกียง และอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับตะเกียง
อยู่มาวันหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านกลับจากเมือง และได้เรียกทุกคนในหมู่บ้านมาประชุมกัน
ผู้ใหญ่บ้านบอกกับลูกบ้านว่าจะนำไฟฟ้ามาใช้ในหมู่บ้าน หมู่บ้านจะได้เจริญขึ้น แต่การจะนำไฟฟ้ามาใช้ในหมู่บ้านทุกคนจะต้องช่วยกันออกค่าใช้จ่าย
ลูกบ้านทุกครัวเรือนต่างเห็นด้วย ตกลงช่วยกันออกค่าใช้จ่ายเพื่อ ต่อไฟฟ้าเข้าหมู่บ้าน คนขายตะเกียงคิดในใจไม่เห็นด้วย เพราะหากนำไฟฟ้าเข้าหมู่บ้าน เขาคงขายตะเกียงไม่ได้
ลูกบ้านทุกครัวเรือนต่างเห็นด้วย ตกลงช่วยกันออกค่าใช้จ่ายเพื่อ ต่อไฟฟ้าเข้าหมู่บ้าน คนขายตะเกียงคิดในใจไม่เห็นด้วย เพราะหากนำไฟฟ้าเข้าหมู่บ้าน เขาคงขายตะเกียงไม่ได้
คืนวันนั้น ตกดึกคนขายตะเกียงนำเศษฟางมาจุดไฟเผาบ้านของผู้ใหญ่บ้าน หากบ้านถูกเผาจนวอด ผู้ใหญ่บ้านต้องย้ายไปพักที่บ้านญาติๆ ซึ่งอยู่หมู่บ้านอื่นห่างไกลมาก
เขาใช้หินไฟเคาะกัน เพื่อให้เกิดประกายไฟจะได้ไปติดที่ฟาง แต่อากาศเย็นมาก การจุดไฟด้วยหินไฟจึงทำได้อย่างยากลำบาก
เวลาผ่านไปนานเขาก็ไม่สามารถติดไฟได้ เขาคิดในใจว่า "นี่หากเรานำไม้ขีดมาด้วย คงติดไฟไปตั้งนานแล้ว หินไฟนี้เป็นของคนรุ่นเก่าไม่ทันสมัยเหมืนไม้ขีดไฟซึ่งเป็น ของคนรุ่นใหม่"
ทันใดเขาก็คิดได้ว่าตะเกียงนั้นเป็นของแบบเก่าให้แสงสว่างน้อย สู้ไฟฟ้าไม่ได้ ไฟฟ้าให้แสงสว่างมากและให้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ตะเกียงถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนหินไฟ ส่วนไม้ขีดก็เหมือนไฟฟ้า
เขากลับบ้าน เลิกล้มความคิดที่จะวางเพลิงเผาบ้านผู้ใหญ่
ไม่นานหมู่บ้านก็มีไฟฟ้าใช้ จากที่เคยคิดว่า ถ้ามีไฟฟ้าเขาจะขายตะเกียงไม่ได้ เขาจะขาดรายได้ แต่ตอนนี้เขาเลิกขายตะเกียงหันมาขายอุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆจากไฟฟ้า กลับทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นกว่าเก่า
*** นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เราควรยอมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะเทคโนโลยีคือสิ่งอำนวยความสะดวกของคนรุ่นใหม่
*** นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เราควรยอมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะเทคโนโลยีคือสิ่งอำนวยความสะดวกของคนรุ่นใหม่